
ในระบบซอฟต์แวร์สมัยใหม่ การประมวลผลบางอย่างอาจใช้เวลานานและไม่ควรรบกวนการตอบสนองของผู้ใช้ เช่น:
- การแปลงไฟล์วิดีโอ
- การส่งอีเมลจำนวนมาก
- การสร้างเอกสาร PDF
- การแจ้งเตือนแบบล่าช้า (Delay Notification)
สิ่งเหล่านี้ควรทำแบบ “เบื้องหลัง” โดยไม่บล็อกการทำงานของระบบหลัก — นี่คือที่มาของ Background Jobน
🧱 โครงสร้างพื้นฐานของระบบ Background Job
✅ 1. Job Producer
- ส่วนที่ส่ง Task เข้าคิว (เช่นจาก API, ระบบสั่งพิมพ์, ฟอร์มอัปโหลด)
✅ 2. Job Queue
- คิวเก็บ Task ที่รอประมวลผล เช่น:
- Bull (Node.js + Redis)
- Celery (Python + Redis/RabbitMQ)
- Amazon SQS (AWS)
✅ 3. Job Worker
- โปรแกรมที่ดึง Task จาก Queue แล้วประมวลผล
📦 ตัวอย่างงานที่เหมาะสำหรับ Background Job
งานที่ใช้เวลา | ทำแบบ Background ดีไหม? | เหตุผล |
---|---|---|
ส่งอีเมลจำนวนมาก | ✅ ใช่ | ป้องกันการ time out |
สร้างใบแจ้งหนี้ PDF | ✅ ใช่ | ใช้เวลา rendering สูง |
อัปโหลดไฟล์วิดีโอ | ✅ ใช่ | ต้องแปลงไฟล์หลาย format |
คำนวณสถิติเชิงลึก | ✅ ใช่ | ประมวลผลซับซ้อน ใช้ CPU มาก |
🔁 การตั้ง Retry และ Logging ที่ดี
🔄 Retry Strategy
- Retry หาก status code เป็น 500, timeout
- จำกัดจำนวน retry เช่น 3 ครั้ง
- ตั้ง delay แบบ exponential backoff
📝 Logging
- Log เวลาเริ่ม / จบ / failed ของแต่ละ job
- ใช้ tools เช่น Bull Board, Flower, AWS CloudWatch
- แสดงสถานะ: pending, running, failed, completed
สรุป
การใช้ Background Job จะช่วยให้ระบบคุณ:
- ⏱ ตอบสนองเร็วขึ้น เพราะไม่รอ Task ที่ใช้เวลานาน
- 💥 รองรับงานจำนวนมากได้โดยไม่ overload server
- 🧩 ขยายและควบคุมการทำงานได้ดีกว่าแบบ synchronous
💡 อยากให้ระบบของคุณ “เร็ว + เสถียร + รองรับงานหนัก” — เริ่มต้นที่การแยก Task ไปอยู่ใน Background Job!